ยินดีต้อนรับทุกท่านครับ

กำลังปรับปรุง ฺBlogger นะครับ
หากมีข้อผิดพลาดขออภัยครับ


วันจันทร์ที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

13.วิชาเลือกเพิ่มเติม รายวิชา นาฏศิลป์พื้นเมือง รหัสวิชา ศ 23209

บุคคลใดเข้ามาศึกษาแล้ว  กรุณากดแสดงความคิดเห็น แล้วแจ้งชื่อ-นามสกุล ระดับชั้น เลขที่ ด้วยครับ จะได้ทราบว่าใครเข้า  มาศึกษาแล้ว


การบ้าน วิชาเลือกเพิ่มเติมรายวิชานาฏศิลป์พื้นเมือง รหัสวิชา         ศ 23209  โรงเรียนสุราษฎร์พิทยา

        1. ให้นักเรียนศึกษาเนื้อหาสาระ เรื่อง การแสดงนาฏศิลป์พื้นเมือง ในหน้า Web site นี้ หรือ Web site ต่างๆ แล้วจดบันทึกลง    ในสมุด พร้อมกับเขียนที่มาของเว็ปไซด์ (กำหนดส่งสมุดวันที่ 24 กรกฎาคม 2555) (อ่านแล้วทำความเข้าใจ คิดวิเคราะห์กับงานที่ครูสั่ง)

ขั้นตอนการทำงาน

- เขียนชื่อหน้าปก วิชา ครูผู้สอนให้เรียบร้อย (ไม่เขียนมาตัดคะแนน)

- เขียนวัน/เดือน/ปี ที่ทำงานให้เรียบร้อย                 

- เขียนชื่อเรื่องว่า การแสดงนาฏศิลป์พื้นเมือง 4 ภาค

- จดบันทึกการแสดงนาฏศิลป์พื้นเมือง 4 ภาค โดยแบ่งเป็นภาค พร้อมมีภาพประกอบ ทำลงในสมุด (การแสดงแต่ละภาคไม่ต่ำกว่า 10 ชุดการแสดง)

- กรุณาขีดเส้นใต้และทำงานให้เรียบร้อย เขียนให้ครูอ่านออก       

- เมื่อทำงานเสร็จให้ผู้ปกครองลงลายมือชื่อรับรอง หน้าสุดท้ายของงานที่ทำ


2. กำหนดสอบกลางภาค (วันที่ 24 กรกฎาคม 2555)






ความหมายของนาฏศิลป์พื้นเมือง 

         การแสดงที่เน้นความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะท้องถิ่น ท่ารำ ลีลา ดนตรี ได้รับการสั่งสมสืบทอดต่อ ๆ กันมาจากบรรพบุรุษ ที่ได้คิดประดิษฐ์ท่ารำขึ้นจากพื้นฐานของชาวบ้านตามสภาพความเป็นอยู่         การแต่งกายจะแต่งตามลักษณะท้องถิ่นและพัฒนามาเป็นนาฏศิลป์พื้นเมือง

ความเป็นมาของนาฏศิลป์พื้นเมือง                   

        สังคมชาวบ้านเป็นสังคมเกษตรกรรม อาศัยธรรมชาติเลี้ยงชีพ จึงมีพิธีกรรม และการละเล่นเพื่อขอพรให้พืชผลอุดมสมบูรณ์ ชาวบ้านมีชีวิตแบบเรียบง่ายสะท้อนออกมาเป็นศิลปะพื้นบ้าน วัฒนธรรมพื้นบ้านที่เป็นความบันเทิงเกิดขึ้นเพื่อผ่อนคลายความตึงเครียด เริ่มจากการใช้ภาษาที่คล้องจอง และพัฒนามาเป็นเพลงชาวบ้าน ร้องถ่ายทอดกันมา นาฏศิลป์พื้นเมืองแต่ละภาคจะมีที่มาจากสภาพสังคม ความเชื่อ พิธีกรรม และความศรัทธาในพระพุทธศาสนา 


ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการแสดงนาฏศิลป์พื้นเมือง 

          1. สภาพภูมิศาสตร์              

              •1.1 ภาคกลาง ลักษณะภูมิประเทศเป็นที่ราบเหมาะแก่การทำนา เพาะปลูก ทำไร่ ทำสวน การแสดงพื้นเมืองจึงมีการบวงสรวงขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้มีพืชพันธ์ธัญญาหารสมบูรณ์              

              •1.2 ภาคเหนือ ลักษณะภูมิประเทศเป็นภูเขา อุดมด้วยทรัพยากรธรรมชาติมีพันธ์ไม้ที่สวยงาม นานาชนิด ส่งผลให้ชาวเหนือยิ้มแย้มแจ่มใส นาฏศิลป์พื้นเมืองจึงมีลีลาเชื่องช้า ละเมียดละไม                         

              •1.3 ภาคอีสาน ลักษณะภูมิประเทศเป็นที่ราบค่อนข้างแห้งแล้ง ส่งผลให้นาฏศิลป์พื้นเมืองอีสาน ฟ้อนรำเพื่อเซ่นสรวงบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เป็นการฟ้อนรำเพื่อความเป็นสิริมงคล และสร้างความสนุกสนานในเทศกาลต่าง ๆ                 

              •1.4 ภาคใต้ ภูมิประเทศติดต่อกับมลายูจึงทำให้รับเอาศิลปะของมลายูมาผสมผสานกับท้องถิ่น นาฏศิลป์พื้นเมืองจึงมีลักษณะเป็นการเต้นรำตามจังหวะดนตรีเน้นลีลาการเคลื่อนไหวของมือและเท้า 

          2. ขนบธรรมเนียมประเพณี  นาฏศิลป์พื้นเมืองของแต่ละภาคจะสะท้อนให้เห็นถึงขนบธรรมเนียมประเพณีของแต่ละท้องถิ่น

          3. ค่านิยมและความเชื่อ วิถีชีวิตของชาวบ้านผูกพันกับความเชื่อถือและศรัทธาในศาสนา             

        4. การทำมาหาเลี้ยงชีพ สังคมชาวบ้านมีอาชีพเป็นเกษตรกร หลังจากการทำงานหนักก็ผ่อนคลายความเครียดด้วยการร้องรำทำเพลงจนเกิดเป็นเพลงพื้นบ้านและการละเล่น

      5. วัฒนธรรมต่างชาติ  เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้แต่ละภาครับอิทธิพลของการแสดงจากประเทศเพื่อนบ้าน 




 เป็นศิลปะการรำ และการละเล่น หรือที่นิยมเรียกกันทั่วไปว่า “ ฟ้อน “ การฟ้อนเป็นวัฒนธรรมของชาวล้านนา และกลุ่มชนเผ่าต่างๆ เช่น ชาวไต ชาวลื้อ ชาวยอง ชาวเขิน เป็นต้น ลักษณะของการฟ้อน แบ่งเป็น แบบ คือ แบบดั้งเดิม และแบบที่ปรับปรุงขึ้นใหม่ แต่ยังคงมีการรักษาเอกลักษณ์ทางการแสดงไว้คือ มีลีลาท่ารำที่แช่มช้า อ่อนช้อย มีการแต่งกายตามวัฒนธรรมท้องถิ่นที่สวยงามประกอบกับการบรรเลงและขับร้องด้วยวงดนตรีพื้นบ้าน เช่น วงสะล้อ ซอ ซึง วงปูเจ่ วงกลองแอว เป็นต้น โอกาสที่แสดงมักเล่นกันในงานประเพณี หรือต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง ได้แก่ ฟ้อนเล็บ ฟ้อนเทียน ฟ้อนครัวทาน ฟ้อนสาวไหม และฟ้อนเจิง

การแสดงนาฏศิลป์พื้นเมืองภาคเหนือ ศิลปะการแสดงทางภาคเหนือ เป็นลักษณะศิลปะที่มีการผสมผสานกันระหว่างชนพื้นเมืองชาติต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นไทยล้านนา ไทยใหญ่ เงี้ยว รวมถึงพวกพม่าที่เคยเข้ามาปกครองล้านนาไทยทำให้นาฏศิลป์  หรือการแสดงที่เกิดขึ้นในภาคเหนือมีความหลากหลาย แต่ยังคงมีเอกลักษณ์เฉพาะที่แสดงถึงความนุ่มนวลของท่วงท่า และทำนองเพลงประกอบกับความไพเราะของเครื่องดนตรีประเภทเครื่องดีด สี ตี เป่า ที่มีความเด่นชัด ไม่ว่าจะเป็น พิณเปี๊ยะหรือพิณเพียะ สะล้อ ซอ ซึง และกลอง ที่ปรากฏอยู่ในการฟ้อนประเภทต่างๆ รวมทั้งการแสดงที่มีความเข้มแข็ง หนักแน่นในแบบฉบับของการตีกลองสะบัดชัย และการตบมะผาบการแสดงพื้นเมืองภาคเหนือ   นอกจะมีลักษณะเป็นแบบพื้นเมืองเดิม ไทยล้านนา ไทยใหญ่ เงี้ยวรวมถึงพม่า ผสมกันอยู่แล้ว ยังมีลักษณะการแสดงของภาคกลางรวมอยู่ด้วย ทั้งนี้สืบเนื่องมาจากการที่ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระชายา พระนามว่า เจ้าดารารัศมี พระราชธิดาของพระเจ้าอินทวิชยานนท์ และเจ้าแม่ทิพเกสร เจ้าเมืองเชียงใหม่ ทำให้อิทธิพลการแสดงของภาคเหนือในสมัยพระราชชายาเจ้าดารารัศมีมีลักษณะของภาคกลางปะปนอยู่บ้าง ทำให้สามารถแบ่งลักษณะการแสดงพื้นเมืองภาคเหนือได้เป็น ๓ ลักษณะ

๑.ลักษณะการฟ้อนแบบพื้นเมืองเดิม เป็นการแสดงที่มีอยู่ตามท้องถิ่นทั่วไป เช่น ฟ้อนครัวทาน ฟ้อนเล็บ ฟ้อนเทียน เป็นต้น

๒.ลักษณะการฟ้อนที่ได้รับอิทธิพลจากชาติอื่น อาทิ พม่า ไทยใหญ่ เงี้ยว เช่น ฟ้อนไต ฟ้อนโต ฟ้อนเงี้ยว เป็นต้น

๓.ลักษณะการฟ้อนแบบคุ้มหลวง เป็นการฟ้อนที่เกิดขึ้นในคุ้มของพระราชชายา เจ้าดารารัศมี ซึ่งมีลักษณะการฟ้อนของภาคกลางผสมอยู่ เช่น ฟ้อนม่านมุ้ยเชียงตา ฟ้อนน้อยใจยา เป็นต้น

ปัจจุบันการแสดงพื้นเมืองภาคเหนือ วิทยาลัยนาฏศิลป์เชียงใหม่ สร้างสรรค์จากท่า และทำนองเพลงพื้นเมืองล้านนา ใช้หัตกรรมพื้นบ้านเป็นอุปกรณ์ประกอบการแสดง เช่น ฟ้อนผาง ฟ้อนที เป็นต้น

การแสดงพื้นเมืองภาคเหนือ 

ฟ้อนผีมด ฟ้อนผีเม็ง เป็นการบูชาผีบรรพบุรุษ-

===================================================================

  

   ฟ้อนกิงกะหลา เป็นการฟ้อนเรียนแบบนก มีลักษณะเป็นการรำคู่ เกี้ยวพาราสีหรือหยอกล้อเล่นหัวกัน

==============================================

ฟ้อนผีนางดัง เป็นการฟ้อนของชาวล้านนา นิยมเล่นในเทศกาลตรุษสงกรานต์


==============================================

             

ฟ้อนเจิง เป็นการฟ้อนที่แสดง ถึงศิลปะการป้องกันตัวด้วยมือเปล่า


            ฟ้อนเจิง
            ฟ้อนเจิง เป็นการร่ายรำตามกระบวนท่าตามแบบแผน ที่แสดงออกถึงศิลปะในการต่อสู้ของชาย ซึ่งท่ารำนั้นมีทั้งท่าหลักและท่าที่ผู้รำแต่ละคน จะใช้ความสามารถเฉพาะตัว พลิกแพลงให้ดูสวยงาม
                 ในระยะแรก ฟ้อนเจิง หมายรวมเอาทั้งการฟ้อนประกอบอาวุธและไม่มีอาวุธ โดยเรียกลักษณะการฟ้อนตามนั้นคือ
                          ใช้ไม้ฅ้อน หรือไม้พลองประกอบการรำ เรียกว่า ฟ้อนเจิงไม้ฅ้อน
                          ใช้หอกประกอบการร่ายรำ เรียกว่า ฟ้อนเจิงหอก
                          ใช้ดาบประกอบการร่ายรำ เรียกว่า ฟ้องเจิงดาบ
                          ใช้ลา คือดาบวงพระจันทร์ประกอบการร่ายรำ เรียกว่า ฟ้อนเจิงลา ร่ายรำด้วยมือเปล่า เรียกว่า ฟ้อนเจิงมือ
           ต่อมา คำว่าเจิง ในการฟ้อนประกอบอาวุธต่าง ๆ ได้กร่อนหายไป และเรียกการฟ้อนเจิงประกอบอาวุธต่าง ๆ ตามชื่อของอาวุธนั้น ๆ เช่น ฟ้อนไม้ฅ้อน ฟ้อนหอก ฟ้อนดาบ ฟ้อนลา และเรียกการร่ายรำในลีลาการต่อสู้ด้วยมือเปล่านี้ว่า ฟ้อนเจิง
           การฟ้อนเจิงประกอบอาวุธบางประเภทนั้น ในระยะหลังไม่ค่อยได้รับความนิยม เช่น ฟ้อนเจิงไม้ฅ้อน และฟ้อนเจิงหอก แต่อาจพบอยู่บ้างในการพิธีฟ้อนผี ส่วนการฟ้อนเจิงลานั้นไม่ปรากฏว่ามีการฟ้อนให้เห็น ส่วนการฟ้อนเจิงดาบนั้นได้รับความนิยมมาก ทั้งในการแสดงประกอบการตีกลองอย่างในขบวนแห่ครัวทานเข้าวัด และเป็นที่นิยมมากในการแสดงเชิงศิลปวัฒนธรรมบนเวที สำหรับการฟ้อนเจิงมือ หรือฟ้อนเจิงนั้น จะมีลูกเล่นได้มากกว่าการฟ้อนประกอบอาวุธ เพราะคล่องตัวมากกว่าที่จะต้องแสดงการรำอาวุธควบคู่กับการฟ้อน
           การฟ้อนเจิงนี้ มักดำเนินร่วมกับตบบ่าผาบ หรือตบขนาบ คือการตบไปยังส่วนต่าง ๆ ของร่างกายเพื่อให้เกิดเสียงดัง การฟ้อนเจิงหรือฟ้อนรำแสดงลีลาประกอบการตบไปตามร่างกายดังกล่าว มักเรียกรวมกันว่า ตบบ่าผาบฟ้อนเจิง และมักเป็นการเริ่มต้นก่อนที่จะมีการฟ้อนอาวุธ หรือกิจกรรมอื่นที่คล้ายคลึงกัน
           การเรียนฟ้อนเจิงนั้น ผู้เรียนต้องหามื้อจั๋นวันดี เป็นวันอุดมฤกษ์ ไปขอเรียนกับครูที่มีความสามารถ โดยต้องมีการขึ้นขันหรือ การจัดเครื่องคารวะ คือกรวยดอกไม้ธูปเทียน พลู หมาก ข้าวเปลือก ข้าวสาร สุรา  ผ้าขาว ผ้าแดง กล้วย อ้อย มะพร้าว และค่าครูตามกำหนด ครูบางท่านอาจเสี่ยงทายโดยให้ผู้จะสมัครเป็นศิษย์นำไก่ไปคนละตัว ครูเจิงคือผู้สอนฟ้อนเจิงจะขีดวงกลมที่ลานบ้านแล้วเชือดคอไก่ และโยนลงในวงนั้น หากไก่ของผู้ใดดิ้นออกไปตายนอกเขตวงกลม ก็คือว่าผีครูไม่อนุญาตให้เรียน และหากเรียนจนสำเร็จแล้ว ครูเจิง อนุญาตให้นำวิชาไปใช้ได้เรียกว่าปลดขันตั้ง โดยทำพิธียกขันตั้งคือพานเครื่องสักการะจากหิ้งผีครู แจกธูปเทียนดอกไม้จากในพานให้แก่ศิษย์  เป็นเสร็จพิธี


==============================================

ฟ้อนดาบ เป็นการแสดงถึงศิลปะการป้องกันตัวด้วยมีดดาบ





==============================================

ฟ้อนจ๊าด เป็นการฟ้อนที่เล่นเป็นเรื่องราวแบบโบราณ นิยมแสดงในงานศพและงานเทศกาลต่างๆ


==============================================

ตบมะผาบ เป็นการฟ้อนด้วยมือเปล่า โดยใช้มือตบไปตามร่างกายด้วยความรวดเร็ว เพื่อให้เกิดเสียงดัง





==============================================

ฟ้อนเล็บ เป็นการฟ้อนแบบดั้งเดิมที่มีความสวยงาม โดยผู้ฟ้อนสวมเล็บสีทอง



==============================================

ฟ้อนเทียน เป็นการฟ้อนแบบดั้งเดิมเช่นเดียวกับฟ้อนเล็บ แต่จะฟ้อนเวลากลางคืน โดยผู้ฟ้อนจะถือเทียน



==============================================

ฟ้อนม่านมุ้ยเชียงตา เป็นการฟ้อนที่พระราชชายา เจ้าดารารัศมีทรงประดิษฐ์ร่วมกับครูช่างฟ้อนของพม่า โดยใช้ท่ารำของราชสำนักพม่าผสมท่าฟ้อน โดยใช้ท่ารำของสำนักพม่าผสมท่าฟ้อนของไทย


========================================================================


ฟ้อนล่องน่าน หรือ ฟ้อนน้อยใจยา เป็นการฟ้อนเพื่อใช้ประกอบการแสดงละครเรื่องน้อยใจยา มีลักษณะการรำคู่ระหว่างชายกับหญิง      

==============================================



ฟ้อนสาวไหม เป็นการฟ้อนที่แสดงถึงกรรมวิธีการทอผ้าไหม ซึ่งเป็นอาชีพของชาวไทยภาคเหนือ
ฟ้อนสาวไหม เป็นศิลปะการฟ้อนของทางภาคเหนือ เกิดขึ้นที่จังหวัดเชียงรายโดยพ่อกุย สุภาวสิทธิ์ ได้แนวความคิดจากวิธีการปลูกต้นหม่อน เก็บฝ้ายสาวไหม และทอผ้าของชาวบ้านในเวลานั้น ท่ารำใช้ท่าฟ้อนดาบ และฟ้อนเจิง มาปรับปรุง และประดิษฐ์ท่าฟ้อนขึ้นใหม่ เรียกว่า ฟ้อนสาวไหม ใช้ฆ้อง กลอง และฉาบเป็นเครื่องประกอบจังหวะ ต่อมาพ่อกุย ได้ถ่ายทอดท่าฟ้อนสาวไหมให้แก่บุตรสาว คือนาวบัวเรียว รัตนมณีพรณ์ (สุภาวสิทธิ์) ครุฟ้อนประจำวัดศรีทรายมูล จังหวัดเชียงราย นางพลอยศรี สรรพศรี ครูนาฏศิลป์ โรงเรียนเชียงรายวิทยาคม ช่างฟ้อนเก่าในคุ้มเจ้าแก้วนวรัฐ เห็นการแสดงฟ้อนสาวไหนก็เกิดการสนใจ เมื่อมีโอกาสมาพบกันก็ได้ปรับท่าฟ้อนกับนางบัวเรียว โดยได้แทรกลีลาท่ารำนาฏศิลป์ไทยเข้าไป
       ปี พ.ศ.๒๕๑๔ กรมศิลปากรได้เปิดโรงเรียนนาฏศิลป ส่วนภูมิภาคแห่งแรกขึ้นที่ จังหวัดเชียงราย (ปัจจุบัน คือ วิทยาลัยนาฏศิลปเชียงใหม่) มีนโยบายที่สำคัญอย่างหนึ่งคือ ธำรงรักษาศิลปะพื้นเมือง และเสาะแสวงหา รวบรวม ศิลปะพื้นเมืองที่กำลังจะสูญหายไป ฟ้อนสาวไหมจึงเป็นเป้าหมายสำคัญอย่างหนึ่งที่วิทยาลัยนาฏศิลปเชียงใหม่พยายามสืบเสาะหาเพื่อนำมาผดุงรักษาไว้ ในปี พ.ศ.๒๕๑๘ ก็ได้เชิญนางพลอยศรี สรรพศรี มาถ่ายทอดท่าฟ้อนสาวไหมให้แก่คุณครูนาฏศิลป์ละคร ๓ คน คือ นางสาวฉวีวรรณ สบฤกษ์ (นุชนวล) นsางสาวอัจฉรา สุภาไชยกิจ และนางสามปอยดง เครือนันตา
       ต่อมาวิทยาลัยนาฏศิลปเชียงใหม่ เชิญนางคำ กาไวย์ มาสอนการตีกลองสะบัดชัย นายคำเป็นผู้มีความรู้ และความสามารถสืบเสาะหาวิธีฟ้อนสาวไหมได้ทั้งชาย และหญิงดังนั้นทางวิทยาลัยจึงได้ปรับปรุงท่าของนางพลอยศรี และท่าของนายคำเข้าด้วยกัน ให้มีลีลาอ่อนช้อย สวยงาม โดยอยู่ในความควบคุมของนางสาวประนอม ทองสมบุญ อดีตผู้อำนวยการวิทยาลันนาฏศิลปเชียงใหม่ นิยมแสดงมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งใช้ผู้หญิงแสดงล้วน
รูปแบบ และลักษณะการแสดง
       ฟ้อนสาวไหม เป็นการฟ้อนด้วยท่ารำตามทำนองเพลงในจังหวะช้า ความงดงามของการรำฟ้อนสาวไหมจะอยู่ที่กระบวนท่ารำในลักษณะต่าง ๆ ที่มีความหมายถึงกรรมวิธีการทอผ้าไหม รวมทั้งความสวยงามของการใช้อวัยวะทุกส่วนของร่างกายให้มีความกลมกลืนกับท่ารำ อาทิ การตีไหล่ การโย้ตัว และมีการแปรแถวในลักษณะต่าง ๆ
การรำแบ่งเป็นขั้นตอนต่าง ๆ ได้ดังนี้
  • ขั้นตอนที่ ๑
รำออกตามทำนองเพลง
  • ขั้นตอนที่ ๒
รำตามกระบวนท่าฟ้อนจนจบกระบวนท่าแล้วรำเข้า

ดนตรี และเพลงที่ใช้ประกอบการแสดง
       ใช้วงดนตรีพื้นเมืองภาคเหนือ วงสะล้อ ซอ ซึง
       เพลงที่ใช้ประกอบการแสดง ได้แก่ เพลงสาวไหม และเพลงล่องแม่ปิง
เครื่องแต่งกาย
       ผ้าผ้านุ่งซิ่นป้ายยาวกรอมเท้า สวมเสื้อแขนกระบอกปล่อยชายอยู่ด้านนอก ห่มสไบ เครื่องประดับ สร้อยคอ สร้อยตัว ต่างหู ผมเกล้ามวยติดดอกไม้


ที่มา สำนักกรมการสังคีต
==============================================

ฟ้อนเก็บใบชา เป็นการฟ้อนที่แสดงถึงกรรมวิธีการเก็บใบชา ซึ่งเป็นอาชีพของชาวไทยภาคเหนือ



==============================================




ฟ้อนปั่นฝ้าย เป็นการฟ้อนที่นิยมแสดงเพื่อคั่นการขับซอ ผู้ฟ้อนจะแสดงกิริยาเลียนแบบการปั่นฝ้าย


==============================================

ฟ้อนที เป็นการฟ้อนโดยใช้ผู้แสดงหญิงล้วน แต่งกายพื้นเมือง ใช้ทำนองเพลงเหมยมุงเมือง


===================================================================

ฟ้อนผาง เป็นการฟ้อนโดยใช้ผู้แสดงหญิงล้วน แต่งกายพื้นเมือง อุปกรณ์ประกอบการแสดง คือ ตะคันดินเผาจุดเทียน

  
==================================



                 คำว่า วี” เป็นคำพื้นเมืองของภาคเหนือ แปลว่า พัด” ซึ่งนำมาใช้ประโยชน์ได้หลายอย่าง เช่น พัดให้คลายร้อน พัดไล่ยุงหรือแมลง วีของภาคเหนือมีหลายลักษณะ วิทยาลัยนาฏศิลปเชียงใหม่ได้นำวีมาสร้างสรรค์เป็นชุดการแสดง ครั้งแรกแสดงในงานศิลปวัฒนธรรมและนิทรรศการของสถานศึกษาในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อ เทิดพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เนื่องในวโรกาสทรงเจริญพระชนมายุครบ ๓ รอบ ณ วิทยาลัยนาฏศิลปสุโขทัยเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๓๔ นายคำ กาไวย์ ครูสอนนาฏศิลป์พื้นเมืองของวิทยาลัยนาฏศิลปเชียงใหม่ และศิลปินแห่งชาติ ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการประดิษฐ์ท่ารำ โดยนำวิธีการและประโยชน์ของการใช้ วีในลักษณะต่าง ๆ ตามท่าทางธรรมชาติมาประดิษฐ์เป็นท่ารำที่อ่อนช้อยแสดงให้เห็นถึงอารมณ์รื่นเริงสนุกสนานของหญิงสาวล้านนา ท่ารำทั้งหมดมี ๑๕ ท่า เช่น ท่าป้าวก๋อยใบ ท่าบัวบาน ท่ารอลม ท่าวีผมตากแดด ท่ายืนกาดกล้าไปมา เป็นต้น 

            ดนตรีที่ใช้ประกอบการแสดง ใช้วงประสมของเครื่องดนตรีพื้นเมืองภาคเหนือ ประกอบด้วย สะล้อใหญ่ สะล้อกลาง สะล้อเล็ก ซึงใหญ่ ซึงกลาง ซึงเล็ก ปี่จุม กลองพื้นเมือง การแต่งกายของผู้แสดง นุ่งซิ่นตีนจก สวมเสื้อคอกลมเข้ารูปแขนสามส่วน สไบคล้องคอ เครื่องประดับเข็มขัด สร้อยคอ กำไลข้อมือ ต่างหู เกล้าผมมวยสูงดึงช่อผมสูงจากมวยปักปิ่น ดัดแปลงปรับปรุงจากข้อมูลการแต่งกายของหญิงสาวล้านนา จากจิตรกรรมฝาผนักที่วัดพระสิงห์วรวิหารจังหวัดเชียงใหม่ และวัดภูมินทร์ จังหวัดน่าน การแสดงชุดนี้ใช้เวลาแสดงประมาณ ๑๒ นาที 


       เป็นศิลปะการรำและการละเล่นของชนชาวพื้นบ้านภาคกลาง ซึ่งส่วนใหญ่มีอาชีพเกี่ยวกับเกษตรกรรม ศิลปะการแสดงจึงมีความสอดคล้องกับวิถีชีวิตและเพื่อความบันเทิงสนุกสนาน เป็นการพักผ่อนหย่อนใจจากการทำงาน หรือเมื่อเสร็จจากเทศกาลฤดูเก็บเกี่ยว เช่น พลงเกี่ยวข้าว     เต้นกำรำเคียว รำโทนหรือรำวง รำเถิดเทิง รำกลองยาว เป็นต้น มีการแต่งกายตามวัฒนธรรมท้องถิ่น และใช้เครื่องดนตรีพื้นบ้าน เช่น กลองยาว กลองโทน ฉิ่ง ฉาบ กรับ และโหม่ง
          การแสดงพื้นเมืองของภาคกลาง ภาคกลางเป็นภาคที่มีความอุดมสมบูรณ์ ประชากรส่วนใหญ่ประกอบอาชีพด้านกสิกรรม และเกษตรกรรม ทำให้เป็นภาคที่มีความสมบูรณ์ ประชาชนมีความเป็นอยู่สุขสบาย การแสดงหรือการละเล่น ที่เกิดขึ้นจึงเป็นไปในลักษณะที่สนุกสนาน หรือเป็นการร้องเกี้ยวพาราสีกัน เช่น เพลงเรือ เพลงเกี่ยวข้าว หรือเป็นการแสดงพื้นเมืองที่สื่อให้เห็นการประกอบอาชีพ
การแสดงพื้นเมืองภาคกลาง ได้แก่
         1.รำโทน เป็นการรำ และการร้องของชาวบ้าน โดยมีโทนเป็นเครื่องดนตรีประกอบจังหวะ เป็นการร้อง และการรำไปตามความถนัด ไม่มีแบบแผนหรือท่ารำที่กำหนดแน่นอน


---------------------------------------------------------------------------------------------
         รำกลองยาวหรือรำเถิดเทิง เป็นการแสดงเพื่อความรื่นเริง ในขบวนแห่ต่างๆ ของไทยมีผู้แสดงทั้งชาย และหญิง ออกมรำเป็นคู่ๆ โดยมีผู้ตีกลองประกอบจังหวะ พร้อม ฉิ่ง ฉาบ กรับ และโหม่ง

 
        รำกลองยาว หรือ เถิดเทิง
      ที่มาของภาพ  :  หนังสือวิพิธทัศนา, สถาบันนาฏดุริยางคศิลป์ (๒๕๔๒๗๒)


วีดีทัศน์ การแสดงรำกลองยาวหรือรำเถิดเทิง

ประวัติความเป็นมา ประเพณีการเล่นเทิงบ้องกลองยาว  หรือ เถิดเทิง  มีผู้เล่าให้ฟังเป็นเชิงสันนิษฐานว่าเป็นของพม่า  นิยมเล่นกันมาก่อนเมื่อครั้งที่พม่ามาทำสงครามกับไทยในสมัยกรุงธนบุรี    หรือสมัยต้นแห่งกรุงรัตนโกสินทร์  เวลาพักรบพวกทหารพม่าก็จะเล่นสนุกสนานกันด้วยการเล่นต่างๆ  ซึ่งทหารพม่าบางพวกก็เล่น  “กลองยาว”  พวกไทยเราได้เห็นก็จำมาเล่นกันบ้าง  เมื่อชาวไทยเห็นว่ารำกลองยาวเป็นการเล่นที่สนุกสนาน   และเล่นได้ง่ายก็นิยมเล่นกันไปแทบ ทุกบ้านทุกเมืองมาจนทุกวันนี้
เครื่องดนตรี     กลองยาว   กรับ   ฉิ่ง  ฉาบ    โหม่ง
การแต่งกาย    
.  ชาย   นุ่งกางเกงขายาวครึ่งแข้ง  สวมเสื้อคอกลม  แขนสั้น  เหนือศอก   มีผ้าโพกศีรษะและผ้าคาดเอว
.  หญิง  นุ่งผ้าซิ่นมีเชิงยาวกรอมเท้า  สวมเสื้อทรงกระบอกคอปิด  ผ่าอกหน้า ห่มสไบทับเสื้อ  คาดเข็มขัดทับเสื้อ   ใส่สร้อยคอและต่างหู   ปล่อยผมทัดดอกไม้
โอกาสและวิธีการเล่น  นิยมเล่นกันในงานตรุษ งานสงกรานต์ หรืองานแห่แหน ซึ่งต้อง           เดินเคลื่อนขบวน  เช่น  ในงานแห่นาค   แห่พระ  และแห่กฐิน  เป็นต้น  คนดูคนใดรู้สึกสนุกจะเข้าไป  รำด้วยก็ได้   เพราะเป็นการเล่นอย่างชาวบ้าน  เคลื่อนไปกับขบวน  พอถึงที่ตรงไหนมีลานกว้างหรือเหมาะก็หยุดตั้งวงเล่นกันก่อนพักหนึ่งแล้วเคลื่อนไปต่อ  การเล่นเถิดเทิงกรมศิลปากรปรับปรุงใหม่ กำหนดให้มีแบบแผนลีลาท่ารำ  โดยกำหนดให้มีกลองรำ  กลองยืนด้วย
            กลองรำ  หมายถึง  ผู้ที่แสดงลวดลายในการร่ายรำ  
           กลองยืน  หมายถึง  ผู้ตีกลองยืนให้จังหวะในการรำ   
         การเล่นเถิดเทิงแบบนี้มีมาตรฐานตายตัว   ผู้เล่นทั้งหมดต้องได้รับการฝึกฝนมาก่อน  คนดูจะได้เห็นความงามและความสนุกสนานแม้จะไม่ได้ร่วมเล่นด้วยก็ตาม   จำนวนผู้แสดงแบบนี้จะมีเป็นชุด คือ พวกตีเครื่องประกอบจังหวะ คนตีกลองยืน คนตีกลองรำ และผู้หญิงที่รำล่อ พวกตีประกอบจังหวะ    จะร้องประกอบเร่งเร้าอารมณ์ให้สนุกสนานในขณะที่ตีด้วย  เช่น
            “มาแล้วโหวย  มาแล้ววา  มาแต่ของเขา ของเราไม่มา  ตะละล้า
            “ต้อนเข้าไว้  ต้อนเขาไว้  เอาไปบ้านเรา  พ่อก็แก่แม่ก็เฒ่าเอาไปหุงข้าวให้พวกเรากินตะละล้า
            “ใครมีมะกรูด  มาแลกมะนาว  ใครมีลูกสาว  มาแลกลูกเขย  เอาวะ  เอาเหวย  ลูกเขยกลองยาว  ตะละล้า
            ที่เรียกการเล่นประเภทนี้ว่า เถิดเทิง เทิงบ้องนั้น  คงเรียกกันตามเสียงกลองยาว  กล่าวคือมีเสียงเมื่อเริ่มตีเป็นจังหวะ  หูคนไทยได้ยินเป็นว่า “เถิด – เทิง – บ้อง – เทิง – บ้อง” เลยเรียกตามเสียงที่ได้ยินว่าเถิดเทิง  หรือเทิงบ้องกลองยาวตามกันไป  เพื่อให้ต่างกับการเล่นอื่น


-----------------------------------------------------------------
              ระบำชาวนา เป็นวิถีชีวิตความเป็นมาที่พากันออกมาไถนาหว่าน และเก็บเกี่ยวเมื่อข้าวเจริญงอกงาม หลังจากนั้นพากันร้องรำเพลงด้วยความสนุกสนาน


                                              วีดีทัศน์ การแสดงระบำชาวนา 




---------------------------------------------------------------------------------------------
           เต้นกำรำเคียว เป็นการแสดงพื้นเมืองของจังหวัดนครสวรรค์ นิยมเล่นกันตามท้องนา ผู้แสดงทั้งชายและหญิงถือเคียวมือหนึ่งถือถือรวงข้าว ร้องเกี้ยวพาราสีกันอย่างสนุกสนาน 




  เต้นกำรำเคียว
    ที่มาของภาพ   :   หนังสือวิพิธทัศนา, สถาบันนาฏดุริยางคศิลป์ (๒๕๔๒๗๐)

เต้นกำรำเคียว เป็นเพลงพื้นเมืองของชาวบ้านจังหวัดนครสวรรค์ นิยมเล่นตามท้องนาในฤดูกาลลงแขกเกี่ยวข้าว ร้องเล่นกันเพื่อความรื่นเริงสนุกสนาน ผ่อนคลายจากความเหน็ดเหนื่อย เมื่อปี พ..๒๕๐๔ ศิลปินของกรมศิลปากรได้ไปฝึกหัดการเล่นเต้นกำรำเคียว จากชาวบ้านตำบลย่านมัทรี อำเภอพยุหคีรี จังหวัดนครสวรรค์ 
ต่อมากรมศิลปากรได้ปรับปรุงการเล่น    เพื่อให้เหมาะสมกับการนำออกแสดงในงานบันเทิง โดยให้นายมนตรี  ตราโมท  ผู้เชี่ยวชาญนาฏดุริยางค์ไทยกรมศิลปากร  และศิลปินแห่งชาติ    แต่งทำนองเพลงประกอบการแสดงตอนต้น   ก่อนร้องบทโต้ตอบและตอนจบบทร้อง   ผู้แสดงทั้งชายและหญิงมือขวาถือเคียว    มือซ้ายกำรวงข้าว    ทำท่าตามกระบวนเพลง  ร้องเย้าหยอกเกี้ยวพาราสีกัน    
บทร้องมีอยู่  ๑๑  บท   คือ   บทมา   ไป   เดิน  รำ   ร่อน  บิน  ยัก  ย่อง  ย่าง  แถ ถอง และเพลงในกระบวนนี้ผู้เล่น  อาจด้นกลอนพลิกแพลงบทร้องสลับรับกันด้วยความสนุกสนาน บางครั้งในการแสดงอาจตัดบทร้องบางบทเพื่อความกระชับ  ใช้วงปี่พาทย์บรรเลงเพลงนำและตอนจบ


โอกาสที่เล่น  เล่นกันในฤดูเกี่ยวข้าว ชาวนามักมีการเอาแรงกัน โดยต่างฝ่ายต่างไปช่วยกันเกี่ยวข้าว   จะไม่มีการว่าจ้างกัน   ขณะที่มีการเกี่ยวข้าวนั้น เขามักจะมีการร้องเพลงเกี่ยวข้าวไปด้วย โดยร้องแก้กันระหว่างฝ่ายชายกับฝ่ายหญิง และเมื่อหยุดพักการเกี่ยวข้าวประมาณตะวันบ่ายคล้อยแล้ว  การเต้นกำรำเคียวจึงเริ่มเล่น


วิธีการเล่น  จะแบ่งผู้เล่นเป็น  ๒  ฝ่าย  คือ ฝ่ายชาย  เรียกว่า  พ่อเพลง ฝ่ายหญิง เรียกว่า แม่เพลง เริ่มด้วยพ่อเพลงร้องชักชวนแม่เพลงให้ออกมาเต้นกำรำเคียว     โดยร้องเพลงและเต้นออกไปรำล่อ  ฝ่ายหญิงและแม่เพลงก็ร้องและรำแก้กันไป   ซึ่งพ่อเพลงแม่เพลงนี้อาจจะเปลี่ยนไปหลายๆ คน ช่วยกันร้องจนกว่าจะจบเพลง  ส่วนผู้ที่ไม่ได้เป็นพ่อเพลงแม่เพลงก็ต้องเป็นลูกคู่


การแต่งกาย   ฝ่ายชายนุ่งกางเกงขาก๊วย  และเสื้อกุยเฮงสีดำ มีผ้าขาวม้าคาดเอว สวมงอบ   และ  จะไม่ใส่รองเท้า


ฝ่ายหญิงนุ่งโจงกระเบนและเสื้อแขนกระบอก  สีดำหรือเป็นสีพื้นก็ได้  และไม่สวมรองเท้าผู้แสดงทุกคนต้องถือเคียวในมือขวาและถือรวงข้าวในมือซ้ายด้วย


ดนตรีที่ใช้  ตามแบบฉบับของชาวบ้านแบบเดิมไม่มีดนตรีประกอบเพียงแต่ลูกคู่ทุกคนจะปรบมือ และร้อง เฮ้  เฮ้ว ให้เข้าจังหวะ   แต่เมื่อกรมศิลปากรนำไปดัดแปลง  ก็ใช้ระนาดเป็นเสียงดนตรีประกอบในท่าเดินเข้า-ออก


สถานที่แสดง  เดิมแสดงกลางแจ้ง  ที่บริเวณท้องนาที่เกี่ยวข้าวกัน ปัจจุบันมีผู้สนใจการแสดงชนิดนี้มากขึ้นจึงนำมาแสดงบนเวที


จำนวนคน   แต่เดิมไม่จำกัดผู้เล่น เพียงแต่ให้ชายหญิงจับคู่กันเป็นคู่ๆ ต่อมากรมศิลปากรได้จำกัดผู้เล่นเพียง ๕ คู่   เพื่อให้ครบทำนองและเนื้อเพลง


------------------------------------------------------------
รำเหย่อย หรือรำพาดผ้า เป็นการละเล่นที่แสดงวิธีชีวิตอันสนุกของชาวบ้านหมู่บ้านเก่า ตำบลจระเข้เผือก อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี เป็นการร้องรำ เกี้ยวพาราสีระหว่างชาย-หญิง เริ่มการแสดงด้วยการประโคมกลองยาว จบแล้วผู้แสดงชาย-หญิง ออกรำทีละคู่

                                                                             รำเหย่อย

                               ที่มาของภาพ   :  สารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน  เล่มที่ ๑๓ (๒๕๔๙, ๑๙๗)





รำเหย่อย เป็นการเล่นพื้นบ้านของหมู่บ้านเก่า ตำบลจระเข้เผือก อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี  นิยมเล่นในฤดูกาลต่างๆ เฉพาะในบางท้องถิ่นนอกตัวจังหวัดกาญจนบุรี เป็นการเล่นร้องรำเกี้ยวพาราสีหยอกเย้าโต้ตอบกันระหว่างชายกับหญิง


การแสดงรำเหย่อย  เริ่มด้วยประโคมกลองยาว  ร่วมกับเครื่องประกอบจังหวะ  ได้แก่  ฉิ่ง  ฉาบ  กรับ  โหม่ง  และปี่  จังหวะตีกลองยาวเปลี่ยนหลากหลายลูก  เมื่อนักดนตรีประโคมกลองจบลง ผู้รำฝ่ายชายร้องเชิญชวนฝ่ายหญิงให้เล่นรำพาดผ้า    แล้วนำผ้าคล้องไหล่ไปพาดบ่าฝ่ายหญิงออกมารำคู่กันทีละคู่ผลัดเปลี่ยนกันไปจนครบจำนวนคู่ในหมู่ผู้แสดง ทั้งสองฝ่ายด้นกลอนสดร้องโต้ตอบกันเข้าจังหวะดนตรี


            ผู้แสดงแต่งกายแบบพื้นบ้านภาคกลาง   ชายนุ่งผ้าพื้นโจงกระเบนต่างสีกัน  สวมเสื้อคอกลมแขนสั้นเหนือศอก   มีผ้าคาดเอวและพาดไหล่   หญิงนุ่งผ้าพิมพ์ลายโจงกระเบนหลากสีกัน   สวมเสื้อคอกลมแขนยาว   ห่มสไบทับเสื้อ   มีเครื่องประดับได้แก่   เข็มขัด  สร้อยคอ   สร้อยข้อมือ



             เป็นศิลปะการรำและการละเล่นของชนชาวพื้นบ้านภาคอีสาน หรือภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย แบ่งได้เป็น กลุ่มใหญ่ๆ คือ
          1. กลุ่มอีสานเหนือ มีวัฒนธรรมไทยลาวซึ่งมักเรียกการละเล่นว่า เซิ้ง ฟ้อน และหมอลำ เช่น เซิ้งบั้งไฟ เซิ้งสวิง ฟ้อนภูไท ลำกลอนเกี้ยว ลำเต้ย ซึ่งใช้เครื่องดนตรี    พื้นบ้านประกอบ ได้แก่ แคน พิณ ซอ กลองยาวอีสาน ฉิ่ง ฉาบ ฆ้องและกรับ ภายหลังเพิ่มเติมโปงลางและโหวดเข้ามาด้วย 

           2. กลุ่มอีสานใต้ได้รับอิทธิพลไทยเขมร มีการละเล่นที่เรียกว่า เรือม หรือ เร็อม เช่น เรือมลูดอันเร หรือ รำกระทบสาก รำกระโน๊บติงต็อง หรือ ระบำตั๊กแตนตำข้าว รำอาไย หรือ รำตัด หรือ เพลงอีแซวแบบภาคกลาง วงดนตรีที่ใช้บรรเลง คือ วงมโหรีอีสานใต้ มีเครื่องดนตรีก็คือ ซอด้วง ซอตรัวเอก กลองกันตรึม พิณ ระนาดเอกไม้ ปี่สไล กลองรำมะนาและเครื่องประกอบจังหวะ การแต่งกายประกอบการแสดงเป็นไปตามวัฒนธรรมของพื้นบ้าน  ลักษณะท่ารำและท่วงทำนองดนตรีในการแสดงค่อนข้างกระชับ รวดเร็ว และสนุกสนาน

           การแสดงพื้นเมืองภาคอีสาน  ศิลปะการแสดงภาคอีสาน จะมีลักษณะคล้ายภาคเหนือ ในการรวมกลุ่มของชนชาติต่างๆ เช่น พวกไทยลาว ภูไทย ไทยพวน แสก โซ่ แต่ละกลุ่มมีลักษณะแตกต่างตามเชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ แต่ยังมีลักษณะคล้ายคลึงกันเป็นการแสดงที่เกิดขึ้นเพื่อพิธีกรรมทางศาสนา และความสนุกสนานรื่นเริงในเทศกาลต่างๆ การร่ายรำจะมีลักษณะเฉพาะของการเคลื่อนไหวอวัยวะส่วนต่างๆ ของร่างกาย เช่น ก้าวเท้า การวาดแขน การยกเท้า การส่ายมือ การส่ายสะโพก ที่เกิดขึ้นจากท่าทางอันเป็นธรรมชาติที่ปรากฏอยู่ในชีวิตประจำวัน แล้วนำมาประดิษฐ์หรือปรุงแต่งให้สวยงามตามแบบท้องถิ่นอีสานเช่นทำท่าทางลักษณะเเอ่นตัวแล้วโยกตัวไปมา เวลาก้าวตามจังหวะก็มีการกระแทกกระทั้นตัว     ดีดขา ขยับเอว ขยับไหล่ เน้นความสนุกสนาน 
            การแสดงพื้นเมืองภาคอีสาน แสดงให้เห็นถึงพฤติกรรมของชนพื้นเมืองกับสภาพชีวิตความเป็นอยู่ การแสดงพื้นเมืองภาคอีสานจะมีทั้งการแสดงที่เป็นแบบดั่งเดิมที่มีการสืบทอดกันมา และการแสดงที่เกิดขึ้นในแต่ละท้องถิ่นเป็นไปตามความถนัดหรือความสามารถของแต่ละคน โดยไม่มีระเบียบแบบแผน
การแสดงพื้นเมืองภาคอีสาน ได้แก่       1.กันตรึม เป็นการแสดงเพื่อบูชาหรือบูชาหรือบวงสรวงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใช้ในงานพิธีกรรมต่างๆ       2. ฟ้อนภูไท เป็นการฟ้อนเพื่อบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือเพื่อแสดงความกตัญญูต่อบรรพบุรุษ และฟ้อนในงานประเพณีต่างๆ       3. เซิ้งตังหวาย เป็นการแสดงเพื่อถวายสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือในงานพิธีกรรมต่างๆ       4.เซิ้งบั้งไฟ เป็นการฟ้อนในพิธีบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และในพิธีกรรมที่เกี่ยวกับการขอฝน       5. เรือมจับกรับ เป็นการแสดงที่ใช้ผู้ชายถือกรับออกมาร่ายรำไปตามจังหวะเพลงโดยไม่มีแบบแผน หรือทำท่าที่แน่นอน เป็นการรำเพื่อความสนุกสนาน       6. เรือมอันเร หรือ กระทบไม้ บางทีก็เรียกว่า แสกเต้นสาก เป็นการแสดงที่ใช้ไม้ไผ่มากระทบกันตามจังหวะเพลง แล้วผู้รำก็กระโดดข้ามไม้ด้วยท่าทางต่างๆ       7.มวยโบราณ เป็นศิลปะการต่อสู้ที่แสดงถึงความกล้าหาญ เข้มแข็ง นิยมแสดงในเทศกาลต่างๆ                   

          เป็นศิลปะการรำและการละเล่นของชาวพื้นบ้านภาคใต้ อาจแบ่งตามกลุ่มวัฒนธรรมได้ กลุ่ม คือ 

            1.วัฒนธรรมไทยพุทธ ได้แก่ การแสดงโนรา หนังตะลุง เพลงบอก เพลงนา 

         2.วัฒนธรรมไทยมุสลิม ได้แก่ รองเง็ง ซำเป็ง มะโย่ง (การแสดงละคร) ลิเกฮูลู (คล้ายลิเกภาคกลาง) และซิละ มีเครื่องดนตรีประกอบที่สำคัญ เช่น กลองโนรา กลองโพน กลองปืด กลองโทน ทับ กรับพวง โหม่ง ปี่กาหลอ ปี่ในรำมะนา ไวโอลิน อัคคอร์เดียน ภายหลังได้มีระบำที่ปรับปรุงจากกิจกรรมในวิถีชีวิต ศิลปาชีพต่างๆ เช่น ระบำร่อนแร่ กรีดยาง ปาเต๊ะ เป็นต้น

         การแสดงพื้นเมืองภาคใต้ ด้วยเหตุที่ภาคใต้เป็นภาคที่มีอาณาเขตติดต่อกับประเทศมาลาเชีย และเป็นดินแดนที่ติดทะเล ทำให้เกิดการผสมผสานทั้งทางศาสนา วัฒนธรรม และอารยธรรมจากกลุ่มชนหลายเชื้อชาติ เกี่ยวโยงถึงศาสนาและพิธีกรรม จนทำให้นาฏศิลป์ และดนตรีในภาคใต้มีลักษณะที่เป็นเครื่องบันเทิงทั้งในพิธีกรรม และพิธีชาวบ้าน รวมทั้งงานรื่นเริงโดยมีลักษณะการแสดงที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะ คือมีจังหวะที่เร่งเร้า กระฉับกระเฉง ผิดจากภาคอื่นๆ และเน้นจังหวะมากกว่าท่วงทำนอง โดยมีลักษณะที่เด่นชัดของเครื่องดนตรีประเภทเครื่องตีให้จังหวะเป็นสำคัญ ส่วนลีลาท่ารำจะมีความคล่องแคล่วว่องไว สนุกสนาน การแสดงพื้นเมืองภาคใต้มีทั้งแบบพื้นเมืองเดิม และแบบประยุกต์ที่ได้แนวความคิดมาแล้วพัฒนาขึ้นเป็นรูปแบบใหม่ หรือรับมาบางส่วนแล้วแต่งเติมเข้าไป
การแสดงพื้นเมืองภาคใต้ ได้แก่
   หนังตะลุง เรียกว่า หนัง” หรือ “หนังควน” ในสมัยโบราณนิยมแสดงในงานนักขัตฤกษ์ และงานฉลองต่างๆ


==================================================



     ลิเกป่า เป็นการแสดงพื้นเมืองภาคใต้อีกอย่างหนึ่ง นิยมแสดงในงานทั่วไปหรือใช้ในงานแก้บน    


==================================================

ประวัติความเป็นมา







                โนรา หรือ มโนห์รา  เป็นการละเล่นพื้นเมืองที่สืบ ทอดกันมานานและนิยมกันอย่างแพร่หลายใน ภาคใต้ เป็นการละเล่นที่มีทั้งการร้อง การรำ บางส่วนเล่นเป็นเรื่อง และบางโอกาสมีบางส่วน แสดงตามคติความเชื่อที่เป็นพิธีกรรม
              โนรา เป็นศิลปะพื้นเมืองภาคใต้เรียกว่า โนรา แต่ คำว่า มโนราห์ หรือ มโนห์รา นั้น เป็นคำที่เกิด ขึ้นมาเมื่อสมัยกรุงศรีอยุธยา โดยการนำเอา เรื่อง พระสุธน-มโนราห์ มาแสดงเป็นละครชาตรี จึงมีคำเรียกว่า มโนราห์ ส่วนกำเนิดของโนรานั้น สันนิษฐานกันว่าได้รับอิทธิพลจากการ ร่ายรำของอินเดียโบราณก่อนสมัยศรีวิชัย ที่มา จากพ่อค้าชาวอินเดีย สังเกตได้จากเครื่องดนตรีที่ เรียกว่า เบ็ญจสังคีตซึ่งประกอบโหม่ง ฉิ่ง ทับ กลอง ปี่ใน ซึ่งเป็นเครื่องดนตรีโนรา และท่ารำของโนรา อีกหลายท่าที่ละม้ายคล้ายคลึงกับการร่ายรำของ ทางอินเดีย และเริ่มมีโนราเป็นกิจลักษณะขึ้นเมื่อประมาณปี พุทธศักราชที่ ๑๘๒๐ ซึ่งตรงกับสมัยสุโขทัยตอนต้น
               เชื่อกันว่าโนราเกิดขึ้นครั้งแรกที่ หัวเมืองพัทลุง ปัจจุบันคือ ตำบล บางแก้ว จังหวัด พัทลุง แล้ว แพร่ขยายไปยังหัวเมืองอื่นๆของภาคใต้ จน ไปถึงภาคกลาง และกลายเป็นละครชาตรี และจังหวะตะลุง ที่ได้รับอิทธิพลจากแนวคิดนี้ โนรา เกิดขึ้นในราชสำนักของพัทลุงซึ่งมีตำนานเล่า กันมาว่า เจ้าเมืองพัทลุง มีชื่อว่า พระยา สายฟ้าฟาด มีลูกสาวที่ชื่อ ศรีมาลา ซึ่ง มีความสามารถในการร่ายรำมาก ได้เกิดตั้งครรภ์โดยที่ยังไม่ได้แต่งงาน เชื่อกันว่า เป็นท้องกับเทวดา พระยาสายฟ้าฟาดเห็นดัง นั้นก็โกรธมาก สั่งให้นำนางศรีมาลาไป ลอยแพในทะเล คือ ทะเลสาปสงขลาและ แพได้ไปติดที่เกาะใหญ่ นางศรีมาลาก็ ได้ให้กำเนิดลูกชาย โดยตั้งชื่อว่า เทพสิงหล ซึ่งมีนัยความว่า ลูกของเทวดา นางศรีมาลา ได้ฝึกให้เทพสิงหลฝึกร่ายรำ ซึ่งเทพสิงหล ก็สามารถร่ายรำได้สวยงามมาก และร่ายรำ มีชื่อเสียงมากที่เกาะใหญ่ จนรู้ไปถึง หูพระยาสายฟ้าฟาด ซึ่งพระยาสายฟ้า ฟาดก็ยังไม่รู้ว่าหลานตัวเอง ก็ได้ เชิญไปรำในราชสำนัก ฝ่ายนางศรีมาลานั้น ก็น้อยเนื้อต่ำใจเมื่อครั้งที่ถูกลอยแพ ก็บอกกับคนที่มาติดต่อว่า โนราคณะ นี้จะไปรำได้ แต่ต้องปูผ้าขาวตั้ง แต่ริมฝั่งที่ลงจากเรือจนไปถึงตำหนัก พระยาสายฟ้าฟาดก็ตอบตกลง ดังนั้น เทพสิงหลจึงไปรำในราชสำนัก เทพสิงหลรำ ได้สวยงามมาก จนพระยาสายฟ้าฟาดก็ ตกตะลึงในความสวยงาม จึงถอดเครื่องทรงที่ ทรงอยู่ให้กับเทพสิงหล แล้วบอกว่า "เครื่อง แต่งกายกษัตริย์ชุดนี้มอบให้เป็นเครื่องแต่งกายของโนรานับแต่นี้เป็นต้นไป" เทพสิงหลจึง บอกว่าแท้จริงแล้วเป็นหลานของพระยาสาย ฟ้าฟาด พระยาสายฟ้าฟาดจึงรับโนราไว้ ในราชสำนักและให้สิทธิแต่งกายเหมือนกษัตริย์ทุก ประการ









องค์ ประกอบหลักของการแสดงโนรา 
    ซึ่งเป็นการแสดงเพื่อ ให้ความบันเทิงโดยตรง มีดังนี้
              ๑. การรำ โนรา แต่ละตัวต้องรำอวดความชำนาญและความสามารถ เฉพาะตน โดยการรำประสมท่าต่าง ๆ เข้าด้วย กันอย่างต่อเนื่องกลมกลืน แต่ละท่ามีความ ถูกต้องตามแบบฉบับ มีความคล่องแคล่วชำนาญ ที่จะเปลี่ยนลีลาให้เข้ากับจังหวะดนตรีและต้อง รำให้สวยงามอ่อนช้อยหรือกระฉับกระเฉงเหมาะแก่กรณี บางคนอาจอวดความสามารถในเชิงรำเฉพาะด้าน เช่น การเล่นแขนการทำให้ตัวอ่อน การรำ ท่าพลิกแพลง เป็นต้น
              ๒. การร้อง โนราแต่ละตัวจะ ต้องอวดลีลาการร้องรับบทกลอนในลักษณะต่าง ๆ เช่น เสียงไพเราะดังชัดเจนจังหวะการร้องขับ ถูกต้องเร้าใจ มีปฏิภาณในการคิดกลอนรวด เร็ว ได้เนื้อหาดี สัมผัสดี มีความสามารถใน การร้องโต้ตอบ แก้คำอย่างฉับพลัน และคม คาย เป็นต้น
             ๓. การทำบท เป็นการอวดความสามารถใน การตีความหมายของบทร้องเป็นท่ารำ ให้ คำร้องและท่ารำสัมพันธ์กัน ต้องตีท่าให้ พิสดารหลากหลายและครบถ้วนตามคำร้องทุกถ้อยคำ ต้องขับบทร้อง และตีท่ารำให้ประสมกลม กลืนกับจังหวะและลีลาของดนตรีอย่างเหมาะเหม็ง การทำบทจึงเป็นศิลปะสุดยอดของโนรา
              ๔. การรำเฉพาะอย่าง นอกจากโนราแต่ละคนจะ ต้องมีความสามารถในการรำ การร้อง และการ ทำบท ดังกล่าวแล้ว ยังต้องฝึกการรำเฉพาะ อย่าง ให้เกิดความชำนาญเป็นพิเศษด้วย ซึ่งการรำ เฉพาะอย่างนี้ อาจใช้แสดงเฉพาะโอกาส เช่น รำใน พิธีไหว้ครู บาง อย่างใช้รำเฉพาะเมื่อมีการประชันโรง บางอย่าง ใช้ไนโอกาสรำลงครู หรือโรงครู หรือ รำแก้บน เป็นต้น การรำเฉพาะอย่าง มีดังนี้
                     ๑. รำบทครูสอน
                     ๒. รำบทปฐม
                     ๓. รำเพลงทับเพลง โทน
                     ๔. รำเพลงปี่
                     ๕. รำเพลงโค
                     ๖. รำขอเทริด
                     ๗. รำ เฆี่ยนพรายและเหยียบลูกนาว (เหยียบมะนาว)
                     ๘. รำ แทงเข้ (แทงจระเข้)
                     ๙. รำคล้องหงส์
                     ๑๐. รำบท สิบสองหรือรำสิบสองบท
             ๕. การเล่นเป็นเรื่อง โดยปกติโนราไม่เน้นการเล่นเป็นเรื่อง แต่ถ้า มีเวลาแสดงมากพอ หลังจากอวดการรำการ ร้องและการทำบทแล้ว อาจแถมการเล่นเป็น เรื่องให้ดู เพื่อความสนุกสนาน โดยเลือกเรื่องที่ รู้ดีกันแล้วบางตอนมาแสดง เลือกเอาแต่ ตอนที่ต้องใช้ตัวแสดงน้อย ๆ (๒ คนไม่เน้นที่การแต่งตัวตามเรื่อง มักแต่งตามที่แต่งรำอยู่แล้ว แล้วสมมุติเอา ว่าใครเป็นใครแต่จะเน้นการตลกและการ ขับบทกลอนแบบโนราให้ได้เนื้อหาตามท้อง เรื่อง

==================================================

4. โต๊ะครึม เป็นการแสดงประกอบการเข้าทรง เพื่อบูชาสิ่งศักสิทธิ์ หรือบูชาวิญญาณบรรพบุรุษ   


==================================================

             5. สิละ เป็นศิลปะการต่อสู้ด้วยมือเปล่า



==================================================

 '

      6. รองเง็ง เป็นการแสดงของชาวไทยมุสลิมที่ได้รับความนิยมมาก เป็นการเต้นรำระหว่างหญิง-ชาย ในงานมงคล
                 ประวัติความเป็นมา รองเง็งเป็นศิลปะเต้นรำของไทยมุสลิมพื้นเมือง มีความสวยงาม ทั้งลีลาการเคลื่อนไหวของเท้า มือ ลำตัว และการแต่งกายคู่ชายหญิง กล่าวกันว่าการเต้นรองเง็งสมัยโบราณเป็นที่นิยมในบ้านขุนนาง  หรือเจ้าเมืองในสี่จังหวัดชายแดนใต้  เช่น ที่บ้านราหยายะหริ่ง หรือ พระยาพิพิศเสนามาตย์ เจ้าเมืองยะหริ่งสมัยก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง (พ.ศ.๒๔๓๙๒๔๔๙มีหญิงสาวซึ่งเป็นข้าทาสบริวารฝึกรองเง็ง เพื่อไว้ต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง          ในงานรื่นเริงหรืองานพิธีต่างๆ เป็นประจำ เนื่องจากวัฒนธรรมมุสลิมไม่นิยมให้สตรีเข้าสังคมกับบุรุษเพศโดยประเจิดประเจ้อ นอกจากผู้หญิงบริวารเจ้าเมืองแล้ว ผู้หญิงอื่นๆที่เป็นผู้ดีจึงไม่มีโอกาสฝึกรองเง็ง เพียงแต่ดูเขาเต้นกัน รองเง็งระยะแรกๆ จึงนิยมกันเพียงวงแคบ
                ส่วนรองเง็งในประเทศไทยนิยมเต้นกันในบ้านขุนนางมุสลิมไทยดังกล่าวข้างต้นต่อมาได้แพร่หลายสู่ชาวบ้าน  โดยอาศัยการแสดงมะโย่งหรือมโนห์ราไทยมุสลิม จะแสดงเป็นเรื่อง  และมีการพักครั้งละประมาณ  ๑๐๑๕ นาที ระหว่างที่พักนั้นจะสลับฉากด้วยรองเง็ง เมื่อดนตรีขึ้นเพลงรองเง็ง ฝ่ายหญิงที่แสดงมะโย่งจะลุกขึ้นเต้นจับคู่กันเอง เพื่อให้เกิดความสนุกสนานยิ่งขึ้น จึงเชิญชายผู้ชมเข้าร่วมวง ในที่สุดรองเง็งเป็นการเต้นรำที่ถูกอกถูกใจชาวบ้าน ภายหลังจึงมีการจัดตั้งคณะรองเง็งรับจ้างเล่นในงานต่างๆจนแพร่หลายมาถึงปัจจุบัน
Ø รูปแบบการแสดง
                การแสดงรองเง็งจะรำกันเป็นหมู่ คือตั้งแต่ ๒ คนขึ้นไป ซึ่งจะรำกันเป็นคู่ชาย-หญิง เมื่อดนตรีขึ้นเพลง  ฝ่ายชายจะโค้งฝ่ายหญิง  แล้วสองฝ่ายจะเดินมากลางวงยืนหันหน้าเข้าหากัน  และเริ่มด้วยการเล่นเท้าอยู่กับที่  จากนั้นแสดงลวดลายด้วยการเต้นเท้าเข้าหากัน เต้นถอยหลัง เต้นตามกัน ฝ่ายหญิงเดินรุกและ ฝ่ายหญิงจะเป็นฝ่ายถอยและการหมุนรอบตัวเอง  การเต้นรองเง็งส่วนใหญ่มีชายและหญิงฝ่ายละ ๕ คน โดยเข้าแถวแยกเป็นชายแถวหนึ่งและหญิงแถวหนึ่ง ยืนห่างกันพอสมควร ดังที่กล่าวมาแล้วว่าการเต้นแบบนี้ต้องใช้ลีลามือ เท้า และส่วนลำตัว เคลื่อนไหวไปข้างหน้าข้างหลังให้เข้ากับดนตรี อีกประการหนึ่งมีผู้ให้ความเห็นว่าความสวยงามและความน่าดูของศิลปะรองเง็งอยู่ที่การใช้เท้าเต้นให้เข้ากับจังหวะ ส่วนการร่ายรำเป็นเพียงองค์ประกอบ (ชวน เพชรแก้ว, ๒๕๒๓. ๑๔๐)
         Ø เครื่องแต่งกาย การแต่งกายเพลงรองเง็ง จะแต่งกายพื้นเมืองภาคใต้โดย 

                        ผู้ชาย สวมหมวกหนีบไม่มีปีก หรือที่เรียกหมวกแขกสีดำ หรือที่ศีรษะอาจจะสวม ชะตางันหรือโพกผ้าแบบเจ้าบ่าวมุสลิมก็ได้ นุ่งกางเกงขากว้างคล้ายกางเกงขาก๊วยของคนจีน ใส่เสื้อคอกลมแขนยาวผ่าครึ่งอก สีเดียวกับกางเกง ใช้โสร่งแคบๆยาวเหนือเข่าสวมทับกางเกง เรียกว่า ผ้าสิลินังหรือ ผ้าซาเลนดังมักทำด้วยผ้าซอแก๊ะ ถ้าเป็นเจ้านายหรือผู้ดีมีเงินมักเป็นผ้าไหมยกดอกดิ้นทองดิ้นเงิน ฐานะรองลงมาใช้ผ้าไหมเนื้อดีตาโตๆ ถัดมาเป็นผ้าธรรมดา

      ผู้หญิง ใส่เสื้อเข้ารูปแขนกระบอก เรียกเสื้อ บันดง ลักษณะเสื้อแบบเข้ารูปปิดสะโพก ผ่าอกตลอด ติดกระดุมทองเป็นระยะ สีเสื้อสดสวยและเป็นสีเดียวกับ ผ้าปาเต๊ะยาวอหรือ ผ้าซอแก๊ะซึ่งนุ่งกรอมเท้า นอกจากนั้นยังมีผ้าคลุมไหล่บางๆสีตัดกับเสื้อที่สวม (ชวน เพชรแก้ว. ๒๕๒๓, ๑๓๙)

Ø ดนตรี  ดนตรีที่ใช้บรรเลงมี รำมะนา ฆ้อง และไวโอลิน ปัจจุบันยังเพิ่มกีตาร์ โดยให้เหตุผลว่า  เพื่อต้องการให้
จังหวะชัดเจนและไพเราะขึ้นกว่าเดิม ดนตรีรองเง็งถ้าประกอบเป็นวงใหญ่จะมีความไพเราะและชวนฟังมาก 
สำหรับวิธีบรรเลงนั้นเป็นเพลงจังหวะรองเง็ง ซึงมีผู้รู้จักและนิยมเต้นส่วนใหญ่ มีจำนวน    ๗ เพลง คือ เพลงลาฆูดูวอ      เพลงลานัง เพลงปูโจ๊ะบีซัง เพลงซินตาซายัง เพลงอาเนาะดีดิ เพลงมะอีนังชวา และเพลงมะอีนังลามา เพลงที่ยืนโรงและรู้จักกันดีมีสองเพลง คือ เพลงลาฆูดูวอและเพลงมะอีนังลามา เป็นเพลงที่เต้นกันมาตั้งแต่โบราณ ส่วนเพลงมะอีนังชวา ปูโจ้ะบีซัง ลานัง และจินตาซายัง เหมาะแสดงหมู่ ส่วนเพลงลาฆูดูวอและมะอีนังลามา เหมาะสำหรับผู้ชำนาญและแสดงลวดลาย
Ø ลีลาท่ารำ   ท่ารำของเพลงรองเง็งในเพลงแรกจะเป็นทำนองที่ช้า อ่อนหวาน ท่ารำก็จะนิ่มนวล       เน้นความสวยงามเป็นลักษณะของการเล่นเท้าอยู่กับที่ จากนั้นแสดงลวดลายด้วยการเล่นเท้าเข้าหากัน    เต้นถอยหลัง  และเต้นตามกัน  ฝ่ายหญิงรุก และผู้หญิงจะเป็นฝ่ายถอยและหมุนรอบตัวเอง 
Ø โอกาสที่ใช้  แสดงเนื่องในงานมงคลต่างๆ 


====================================================



          รำซัมเป็ง เป็นการรำตามจังหวะเพลง แสดงในงานรื่นเริงต่างๆหรือ งานต้อนรับแขกเมือง



รำซำเป็ง


         รำซำเป็ง เป็นการร่ายรำของชาวตะวันออกกลาง (กลุ่มประเทศอาหรับ) ได้แพร่หลายเข้ามาในกลุ่มประเทศเอเชีย โดยพวกพ่อค้าชาวตะวันออกกลางที่เข้ามาค้าขาย ด้วยเหตุนี้เอง รำซำเป็งจึงเป็นที่รู้จักของชาวไทยตอนใต้ โดยเฉพาะในจังหวัดนาราธิวาส เมื่อครั้งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินเยือนจังหวัดนราธิวาสครั้งแรก ในปี พ.ศ. ๒๕๐๒ ชาวนราธิวาสได้จัดการแสดงรำซำเป็งถวาย ณ จวนผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส




=================================================================================

     มะโย่ง เป็นศิลปะการแสดงละครของชาวไทยมุสลิมจากวังรายา      เมืองปัตตานีในอดีต ใช้ผู้แสดงส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง ยกเว้นตัวตลก พระเอกเรียกว่าเปาะโย่ง นางเอกเรียกว่ามะโยง
             มะโย่ง หรือเมาะโย่ง เป็นการละเล่นพื้นเมืองที่ถือเป็นเอกลักษณ์ของชาวไทยเชื้อสายมลายูใน  3   จังหวัดชายแดนภาคใต้ คือ ปัตตานี ยะลา นราธิวาส  ซึ่งป็นการแสดงการร่ายรำที่คล้ายกับมโนราห์   แต่ไม่สวมชฎาหรือมงกุฎ มีตัวพระคือเปาะโย่ง ตัวนางคือมะโย่ง และตัวตลกหรือเสนา   เครื่องแต่งกายใช้เครื่องทรงของกษัตริย์ในยุคสมัยนั้น กล่าวกันว่าเริ่มมีขึ้นในรั้วในวังเมืองปัตตานี   เมื่อประมาณ 400 ปีมาแล้ว จากนั้นจึงแพร่หลายไปทางกลันตัน ปาหัง ตรังกานู   และไทรบุรีของมาเลเซียเป็นที่นิยมในชนชั้นสูงของมาลายู   ได้รับความนิยมฝึกหัดกันทั่วไปทั้ง ในวังและนอกวัง


==================================================

     ระบำตารีกีปัส เป็นการรำพัด ซึ่งเกิดจากการผสมผสานกับการแสดงของมาเลเซียในเพลงชื่อบัวกาน่า วงดนตรีพื้นบ้านผสมสากล แสดงได้สองแบบคือชาย-หญิง และหญิงล้วน
           ตารีกีปัส เป็นนาฏศิลป์พื้นเมืองของชาวไทยมุสลิมทางใต้ คำว่า ตารีกีปัส เป็นภาษามลายูท้องถิ่น หมายถึง การฟ้อนรำที่ใช้พัดเป็นส่วนประกอบ ทำนองเพลงที่ใช้นำมาจากการแสดงชุด “ตาเรียนเนรายัง” ซึ่งเป็นเพลงประกอบการแสดงระบำประมงของชาวมาเลเซีย ส่วนชื่อเพลง คือ อีนัง ตังลุง เป็นเพลงผสมระหว่างมลายูกับจีน 

การแต่งกาย มี ๒ ลักษณะ คือ ๑.การแต่งกายแบบแสดงคู่ชายหญิง 
             นิยมแต่งตามลักษณะของชนชั้นสูงของชาวไทยมุสลิมเต็มยศ ได้แก่
            ชาย จะใส่เสื้อตือโล๊ะบลางอ มีลักษณะเป็นเสื้อคอกลมหรือคดตั้งแบบจีนแขนกว้างยาวจรดข้อมือ ผ่าอกครึ่งตัว กางเกงจะมีลักษณะเป็นกางเกงขายาวคล้ายกางเกงจีน ผ้านุ่งใช้ผ้ายกเงิน ยกทอง หรือผ้าซอแกะนุ่งทับกางเกงสั้นเหนือเข่าเล็กน้อย จับเป็นดอกด้านหนึ่งหรือทำจีบทบกัน ๕ จีบ เพื่อเน้นความแปลกใหม่ เข็มขัด ภาษามลายูท้องถิ่นเรียกว่า “เป็นแนะ” มีความกว้างประมาณ ๕ นิ้ว คาดทับผ้าซอแกะอีกทีหนึ่งหมวก ทำด้วยผ้าเนื้อดีสีดำ ลักษณะคล้ายหมวกหนีบ 

          หญิง จะสวมเสื้อ เรียกว่า “บานง” ภาษามลายูกลางจะเรียกว่า “บันดง” ซึ่งเป็นเสื้อเข้ารูปแขนยาว เน้นรูปทรงคอวี ผ่าอกหน้าตลอด มักติดกระดุมทองเป็นระยะ ตัวเสื้อยาวคลุมสะโพก         เสื้อบานงมักใช้ผ้าค่อนข้างบาง อาจปักฉลุลวดลายตรงชายเสื้ออย่างสวยงาม และพับริมปกซ้อนไว้ตลอด ผ้าที่นิยมนำมาตัดเสื้อกันมาก คือ ผ้าลูกไม้ ผ้ากำมะหยี่ ผ้าต่วน และผ้าชีฟอง 
ผ้านุ่ง ใช้ผ้าซอแกะหรือผ้าปาเต๊ะนุ่งสั้นแค่เข่า ทำเป็นจีบทบกันที่สะโพกทางด้านขวาประมาณ ๕ – ๗ จีบ ตามแบบการนุ่งผ้าของรัฐยะโฮร์ ประเทศมาเลเซียเพื่อเน้นความสะดวกในการร่ายรำ 
ผม นิยมเกล้าผมขึ้นติดดอกไม้สีทองทางขวา ปักเรียงเป็นแถว

๒.การแต่งกายแบบผู้หญิงล้วน

ระบำตาลีกีปัส    
     เป็นการแต่งกายที่ประดิษฐ์ขึ้นมาเพื่อใช้ในการแสดงชุดพิธีเปิดสนามงานกีฬาเขตแห่งประเทศไทยครั้งที่ ๑๔จ.ปัตตานี พ.ศ. ๒๕๒๔ ซึ่งมีลักษณะสำคัญ คือ เสื้อในนาง ไม่มีแขนสีดำ ผ้านุ่งเป็นโสร่งบาติกหรือผ้าซอแกะ สอดดิ้นเงินทองแบบมาเลเซีย ตัดเย็บแบบหน้านางหรือเลียนแบบจับจีบหางไหล ผ้าสไบ สำหรับคลุมไหล่ จับจีบเป็นใบด้านหน้า

เครื่องดนตรีที่ใช้ประกอบการแสดง        ได้แก่ ไวโอลิน รำมะนา ฆ้อง แมนโดลิน ขลุ่ย มาลากัส

อุปกรณ์ที่ใช้ในการแสดง       ได้แก่ พัด มีลักษณะเป็นแพสีดำขนาดใหญ่ มีการฉลุลวดลายสวยงามปัจจุบันมีการตกแต่งพัดโดยติดแถบสีทองหรือสีอื่นๆ ที่ริมพัด แล้วใช้แพรสีสดตัดเป็นริ้วๆ

โอกาสที่ใช้แสดง        รำตารีกีปัสนิยมใช้แสดงในงานพิธีการ งานฉลอง และงานรื่นเริงทั่วไป



==================================================


ระบำร่อนแร่

      10. ระบำร่อนแร่ เป็นการแสดงที่นำกรรมวิธีร่อนแร่มาสร้างสรรค์ลีลาท่ารำ

            ระบำร่อนแร่ เป็นระบำที่ปรับปรงขึ้นตามลีลาท่าทางในการประกอบอาชีพของชาวไทยภาคใต้ จัดแสดงถวายแต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ เมื่อครั้งเสด็จพระราชดำเนินเยือนภาคใต้ครั้งแรก ในปี พ.ศ.๒๕๐๒ ต่อมานักศึกษาระดับปริญญาตรีวิทยาลัยนาฎศิลป์สมทบในคณะนาฎศิลปและดุริยางค์วิทยาลัยเทคโนโลยีและอาชีวศึกษา พ.ศ.๒๕๒๑ ได้นำระบำร่อนแร่มาปรับปรุง และเรียบเรียงท่ารำขึ้นใหม่ โดยใช้เพลง"ตรุงราษฎร์"ซึงนายประสิทธิ์ ถาวร ผู้เชี่ยวชาญดนตรีไทยและศิลปินแห่งชาติ เป็นผู้แต่งทำนองเพลง ทั้งนี้อยู่ในความควบคุมของนางสาวปราณี สำราญวงศ์ หัวหน้าภาควิิชานาฎ-ดุริยางค์คีตศิลปศึกษา

Rabam Ron Rae

This dance is one among those which have been recently revised movement imitates the manner of people in the south earnin their livings by mineral seeking in canals In1959,during the royal visit to the southern part of Thailand of Their Majesties the King and Queen , the people in Ranong province presented this dance to the royal couple. Nineteen yeara later undergraduate
students of the Dramatic Arts college revised and presented the dance as part of their thesis to obtais their Bachelor degree.


==================================================

     11. ระบำปาเต๊ะ เป็นการแสดงระบำพื้นเมือง ลีลาท่ารำนำมาจากกรรมวิธีการย้อมทำลวดลายโสร่งปาเต๊ะของไทยมุสลิม ใช้ผู้หญิงแสดงล้วน

            เป็นระบำที่ประดิษฐ์ขึ้นโดย ครูดรุณี สัจจากุล ภาควิชานาฏศิลป์ มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา    ได้ประดิษฐ์ครั้งแรกเมื่อปีพ.ศ.๒๕๒๓ และได้นำมาปรับปรุงแก้ไขใหม่เพื่อนำออกแสดงหน้าพระที่นั่ง      ณ พระตำหนักทักษินราชนิเวศน์ จังหวัดนราธิวาส เมื่อวันที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๒๘ ระบำชุดนี้ได้นำเอาขั้นตอนการทำผ้าปาเต๊ะมาประยุกต์ดัดแปลงประกอบเข้ากับท่าเต้นรำของพื้นเมืองภาคใต้                       
           ในการแสดงนั้นจะเริ่มจากการแบกภาชนะใส่เทียนไปเคี่ยวบนไฟจนร้อน การถือสะดึงออกมาขึงผ้า เขียนลาย ย้อมผ้า และจะจบด้วยทุกกลุ่มออกมาร่วมเริงระบำกันอย่างสนุกสนานด้วยความพอใจในชุดผ้าปาเต๊ะอันสวยงาม เครื่องดนตรีประกอบการแสดงใช้วงดนตรีพื้นเมืองภาคใต้บรรเลงประกอบการแสดง




13 ความคิดเห็น:

  1. นส.ลาวัลย์ เจริญสุข เลขที่46 ม.3/5 เข้าชมเว็ปไซต์แล้วค่ะ

    ตอบลบ
  2. ไม่ระบุชื่อ12 กรกฎาคม 2555 เวลา 03:12

    ด.ญ. วราภรณ์ เศษบุบผา ม.3/3 เลขที่41 เข้าชมเว็ปไซต์แล้วค่ะ

    ตอบลบ
  3. ไม่ระบุชื่อ19 กรกฎาคม 2555 เวลา 07:00

    ด.ญ.ธัญพร ศักดิ์เพชร เลขที่ 32 ม.3/2 เข้าชมเว็ปไซต์เเล้วค่ะ จิ๊บิ >.<

    ตอบลบ
  4. ไม่ระบุชื่อ19 กรกฎาคม 2555 เวลา 07:17

    ด.ญ.ภัทธิมา คงทอง ม.3/2 เลขที่ 41 เข้าชมเว็ปไซต์เเล้วค่ะ .

    ตอบลบ
  5. ไม่ระบุชื่อ19 กรกฎาคม 2555 เวลา 07:27

    ด.ญ.วศินี พัฒนกูล ม.3/4 เลขที่ 45 เข้าชมเว็ปไซต์เเล้วค่ะ :)

    ตอบลบ
  6. ไม่ระบุชื่อ19 กรกฎาคม 2555 เวลา 07:42

    ด.ญ.นันธิรา ยวนเกิด ม.3/4 เลขที่ 34 เข้าชมเว็ปไซต์เเล้วค่ะ :D

    ตอบลบ
  7. ไม่ระบุชื่อ19 กรกฎาคม 2555 เวลา 22:38

    ด.ญ.ธันยธรณ์ วรรณโชติ ม.3/4 เลขที่ 30 เข้าชมเว็ปไซต์เเล้วค่ะ :)

    ตอบลบ
  8. ไม่ระบุชื่อ20 กรกฎาคม 2555 เวลา 06:11

    ด.ญ.กรกช อภิชนังกูร เลขที่ 27 ม.3/2 เข้าชมเว็ปไซต์เเล้วค่ะ ^^

    ตอบลบ
  9. ไม่ระบุชื่อ20 กรกฎาคม 2555 เวลา 23:13

    ด.ญ.ศรัญยา โชติมณี เลขที่ 45 ม.3/2 เข้าชมเว็ปไซต์เเล้วค่ะ (:

    ตอบลบ
  10. ไม่ระบุชื่อ22 กรกฎาคม 2555 เวลา 03:07

    ด.ญ. กชพร จำนงค์ทอง เลขที่22 ม.3/6 เข้าชมเว็บไซต์เเล้วค่ะ :)

    ตอบลบ
  11. ไม่ระบุชื่อ22 กรกฎาคม 2555 เวลา 03:17

    ด.ญ. กชพร จำนงค์ทอง เลขที่22 ม.3/6 เข้าชมเว็บไซต์เเล้วค่ะ :)

    ตอบลบ
  12. ด.ญ.ธนาวดี ขุนนคร เลขที่15 ม.1/1 ไม่ใด้อยู่โรงเรียนสุราษฎร์พิทยา เเต่เข้าชมเว็บไซต์เเล้วค่ะ
    :):)

    ตอบลบ
  13. ด.ญ.ภรภัทร สุนันสา เลขที่ 26 ม. 1/1 ไม่ใด้อยู่โรงเรียนสุราษฎร์พิทยา เเต่เข้าชมเว็บไซต์เเล้วค่ะ =)

    ตอบลบ

ผู้ติดตาม



วันอาสาฬหบูช


เป้าหมายและวัตถุประสงค์ของอาเซียน


อาเซียน +3 และ อาเซียน +6 คืออะไร ?



ลักษณะวลีและประโยคพื้นฐาน

จิตรกรรมไทยแบบประเพณี

เรียนรู้จากนิราศ

เหรียญพิทักษ์เสรีชนชั้นที่ 1

ระบบคอมพิวเตอร์

การตากข้าว สารานุกรมไทยสำหรับเยาวชนฯ เล่มที่ 3

คุณสมบัติของรัฐมนตรี

อาณาเขตประเทศไทย

Adjective ตำแหน่งของคุณศัพท์ ( Position )
ทำไมแมลงปอต้องบินไปแตะผิวน้ำ
(อ่าน 148)
ประโยชน์ของ "ขมิ้นต้น"
(อ่าน 518)
นวดแก้ปวดไม่ใช้มือ ศาสตร์บำบัดล้านนา
(อ่าน 1021)
สรรพคุณของ "ปวยเล้ง"
(อ่าน 1307)
ประเพณีการบอกหมาก ในงานแต่งงาน
(อ่าน 1302)
วิธีปลูกหอมญี่ปุ่น
(อ่าน 257)
ปลูกเมล่อนหน้าแล้ง
(อ่าน 641)
"มะรุม" พืชมหัศจรรย์
(อ่าน 2533)
เลค ฮิลเลอร์ ทะเลสาบสีชมพู ประเทศออสเตรเลีย
(อ่าน 1647)
10 เรื่องที่ควรรู้ ก่อนคิดจะเลี้ยง "ไซบีเรียน ฮัสกี้"
(อ่าน 398)
มาทำความรู้จัก "พริกหวาน" กันเถอะ
(อ่าน 428)
คุณประโยชน์ของ "มะเขือเทศ" ที่ดีต่อร่างกาย
(อ่าน 1670)